PacePro For Road Runner

PacePro For Road Runner

1.การเข้าสู่เมนู PacePro

• เข้าเมนูมุมซ้ายบน
• เลือกเมนู Training
และเลือก PacePro Pacing Strategies
เลือกสัญลักษณ์ + เพื่อสร้าง PacePro
เลือก Select a Race Distance (สำหรับการแข่งขันที่ไม่มีไฟล์แผนที่การแข่งขัน)

2.เลือกระยะ และกำหนดเวลาที่ต้องการ

•  ระยะทางการวิ่งในระดับมาตรฐานสากลได้แก่ ระยะ

5 Km.

10 Km.

21.1 Km. = Half-Marathon

42.195 Km. = Marathon

Other = กำหนดระยะทางเอง

•  ช่องเวลาจะแบ่งเป็น ชั่วโมง : นาที : วินาที

ผู้ใช้สามารถเลือกได้ 2 รูปแบบคือ

Goal Pace : คือความเร็วเฉลี่ยที่ต้องการวิ่งตลอดระยะทาง
Goal Time : เวลาเป้าหมายที่ต้องการวิ่งให้จบ

*Tip ควรจะตั้ง Goal ให้อยู่ในช่วงเวลา หรือความเร็ว ที่เราสามารถทำได้จริง ไม่ควรตั้งไว้เร็วจนเกินไป

3. ตั้งชื่อ PacePro และเลือกการแบ่ง Split

•  ตั้งชื่อ PacePro ที่สร้าง

เพื่อความง่ายในการจำ แนะนำให้ตั้งเป็นชื่องาน  ชื่อระยะทาง หรือเวลาที่ต้องการจะทำ

•  การปรับแต่งข้อมูล PacePro ในช่อง “Splits”

  • Every Mile = ทุกๆ ไมล์ (1 ไมล์ = 1.61กม.)     
    • Every Kilometer = ทุกๆ 1 กิโลเมตร               

4. เลือกกลยุทธในการวิ่ง

• หัวข้อ Pacing Strategy จะมี “Slide Bar” สำหรับให้เลื่อนซ้าย -ขวา

ส่วนนี้คือการเลือกกลยุทธ์ใจการวิ่ง

• ตรงกลาง                                            : วิ่งด้วยความเร็วเท่ากันตลอดทาง

• เลื่อนซ้าย = Positive Split            : เริ่มต้นด้วยการวิ่งเร็ว แล้วค่อยๆวิ่งช้าลง

• เลื่อนขวา = Negative Split          : เริ่มต้นด้วยการวิ่งช้า แล้วค่อยๆวิ่งเร็วขึ้น

“ไม่ว่าจะเลื่อนไปทางไหน เวลารวมทั้งหมดจะเท่ากัน”

5. ส่งข้อมูลไปที่นาฬิกา

• กดที่สัญลักษณ์ Sent to device

• เลือกรุ่นนาฬิกาที่ต้องการ (กรณีมีหลายเรือน)

• รอซักครู่เมื่อขึ้นเครื่องหมาย    ⁄   แสดงว่าส่งข้อมูลเสร็จแล้ว

การเข้าบนใช้งาน PacePro บนนาฬิกา GARMINบนนาฬิกา

Blind Spot จุดอับของรถยนต์ที่ไม่ควรมองข้าม

Blind Spot จุดอับของรถยนต์ที่ไม่ควรมองข้าม

รถยนต์ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหนๆ ก็ยังมีจุดอับสายตา (Blind Spot) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ แล้วจุดอับสายตาของรถคือจุดไหนบ้าง มาดูกันได้เลย

  • จุดอับสายตาจากเสาเอ (A-pillar blind spot) คือเสาแรกนับจากหน้ารถที่เชื่อมต่อระหว่างหลังคากับตัวรถทั้งซ้ายและขวา จุดนี้เวลาเลี้ยว ถ้าเสาใหญ่มากพอก็สามารถบดบังรถที่ขับสวนมาได้
  • จุดอับสายตาจากเสาบี (B-pillar blind spot) คือเสาที่สองนับจากหน้ารถ อยู่ด้านข้างใกล้กับผู้ขับ จุดนี้จะไม่ค่อยมีอุบัติเหตุมากเท่าไร เพราะว่ารถคู่กรณีก็จะเห็นรถเราได้ชัดเจนในขณะที่เราก็วิ่งไปข้างหน้า
  • จุดอับสายตาจากเสาซี (C-pillar blind spot) คือเสาที่สามนับจากหน้ารถ อยู่ด้านหลังทั้งซ้ายและขวา เสานี้เป็นจุดอับสายตาที่พอจะแก้ไขได้จากการมองกระจกข้าง
  • จุดอับสายตาจากระจกมองข้าง (Side mirror blind spot) เนื่องจากมุมมองของกระจกใกล้ฝั่งคนขับจะมีมุมไม่กว้างพอที่จะเห็นรถคันด้านข้างคนขับที่ค่อนไปด้านหลังได้ทั้งหมด ทำให้เวลาเปลี่ยนเลนอาจจะมีรถยนต์อยู่ในตำแหน่งจุดบอด ทำให้ผู้ขับเปลี่ยนเลนทั้งๆที่มีรถอยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

รู้แบบนี้แล้ว เวลาขับรถเราจึงต้องระมัดระวังให้มากๆ และการติดกล้อง Garmin Dash Cam Series ที่สามารถเชื่อมต่อได้สูงสุดถึง 4 ตัว ที่ด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลังของรถ ก็จะช่วยให้ช่วยสามารถบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆรถเราได้ 360o และสามารถนำภาพที่บันทึกไว้มาดูย้อนหลังได้อีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ : https://bit.ly/DashCam-56

Credit : https://chobrod.com/

PinPointer มีประโยชน์อย่างไร?️

PinPointer มีประโยชน์อย่างไร?️

🏌🏌ไม่ว่าจะเป็นนักกอล์ฟมือใหม่ หรือมือเก๋าซักแค่ไหนย่อมต้องเคยมี Shot ที่ตีพลาดเข้าป่า ลงหลุมทราย หรือตีไปยังจุดที่เราไม่สามารถเห็นทิศทางกรีน หรือที่เราเรียกว่า Blind Shot ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการตี Shot ต่อไป และอาจจะทำให้ทิศทางการตีของเราผิดพลาดแย่ยิ่งกว่าเก่า แต่ด้วยฟังก์ชั่น PinPointer ที่มีอยู่ใน Approach Series ที่มาในรูปแบบนาฬิกา Approach S62 และ Approach S40 กล้องวัดระยะ Approach Z80 หรือจะเป็นในรูปแบบ Handheld Approach G80 ที่สามารถช่วยให้นักกอล์ฟรู้ถึงทิศทางที่กรีนอยู่พร้อมกับระยะทางจนถึงกรีน เป็นรูปแบบคล้ายเข็มทิศ ไม่ว่าคุณจะหันไปในทิศทางไหน ตัวเข็มก็จะชี้ไปยังกรีน ช่วยลดความผิดพลาดใน Shot ต่อไป ให้นักกอล์ฟมั่นใจในการตีได้มากยิ่งขึ้น🏆

🏌️‍♀️🏌️‍♀️สามารถดูรายละเอียดสินค้ากอล์ฟได้ที่
https://bit.ly/3exgNVy

🏬🏬สามารถดูร้านค้าตัวแทนจำหน่ายสินค้ากอล์ฟได้ที่ https://bit.ly/3eyHXLH

#GarminThailand#Garmin#ApproachSeries#PinPointer#GOLF

🚴‍♀️5 เส้นทางปั่นใกล้กรุงเทพฯ

5 เส้นทางปั่นใกล้กรุงเทพฯ

ได้เวลาพาจักรยานคู่ใจออกไปรับลมกันแล้ว หลายคนปั่นจักรยานอยู่ที่บ้านกันมาหลายเดือน ช่วงนี้สถานะการณ์ดีขึ้นเราเลยอยากมาแนะนำสถานที่ปั่นจักรยานบรรยากาศดีๆไม่ไกลกรุงเทพฯ ให้ได้ไปปั่นจักรยานออกกำลังกายและท่องเที่ยวกันได้ด้วย ตามมาดูกันเลยดีกว่า❤️

🔺รอบอ่างเก็บน้ำบางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี อีกหนึ่งสถานที่ปั่นจักรยานยอดนิยม ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ไม่ถึง 100 กม. มีเส้นทางปั่นที่ร่มรื่น มีจุดชมวิวอ่างเก็บน้ำที่สวยงาม ระยะทางปั่นรอบอ่างเก็บน้ำประมาณ 23 กม.กำลังดี มีร้านอาหารและเครื่องดื่มโดยรอบ เหมาะสำหรับคนที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศโดยเดินทางไม่ไกล (สำหรับคนที่อยากซ้อมปั่นขึ้นเขายังอยู่ใกล้เขาฉลากให้ไปซ้อมกันได้อีกด้วย)

🔺เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก เส้นทางปั่นขึ้นสันเขื่อนระยะทางประมาณ 2 กม. ความชันประมาณ 8-10% ให้ได้ฝึกกำลังขากัน สำหรับนักปั่นที่สนใจเพิ่มระยะทางสามารถจอดรถที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และปั่นมายังเขื่อนระยะทางประมาณ 32 กม. พร้อมเที่ยวน้ำตกวังตะไคร้ และน้ำตกนางรองได้อีกด้วย

🔺อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ นครนายก ปราจีนบุรี สระบุรี และนครราชสีมา โดยเส้นทางขึ้นไปถึงที่ทำการอุทยานมีสองทาง คือ ด่านปราจีนบุรี และด่านปากช่อง โดยด่านปราจีนบุรีถึงที่ทำการอุทยาน ระยะทางประมาณ 32 กม. อีกทางจากฝั่งปากช่องถึงที่ทำการอุทยาน ระยะทางประมาณ 14 กม.จะมีความชันที่จุดที่ชันที่สุดประมาณ 18-19% มีอีกเส้นทางคือที่ทำการอุทยานไปยอดเขาเขียว ระยะทางประมาณ 16 กม. มีจุดที่ชันต่อเนื่อง 6 กม. ด้านบนเป็นพื้นที่ทหารมีของกินขายและจุดชมวิวที่สวยงามมาก เหมาะสำหรับสายปั่นที่ชอบความท้าทาย

🔺สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เส้นทางปั่นที่มีความร่มรื่น มีร้านอาหารและรีสอร์ทตลอดเส้นทาง วันนี้เส้นทางที่มาแนะนำมีระยะทางกำลังดีประมาณ 32 กม. โดยเริ่มจากบ้านหอมเทียน ไปทางซีนเนอรี่ วินเทจฟาร์ม ตามเส้นทางไปทางเขากระโจม เลี้ยวขวาผ่านหน้าลาทอสกาน่ารีสอร์ท ผ่านเวเนโต้สวนผึ้ง และกลับมาที่บ้านหอมเทียน โดยเส้นทางจะเป็นเนินขึ้นลง เป็นช่วงๆพร้อมวิวที่สวยงามตลอดเส้นทาง ทำให้ปั่นได้สนุกไม่น่าเบื่อแน่นอน

🔺หาดคุ้งวิมาน จ.จันทบุรี อยู่ในเส้นทางเฉลิมบูรพาชลทิต ถนนเลียบชาดหาดที่สวยที่สุด หาดคุ้งวิมานมีความยาวประมาณ 2 กม. มีจุดชมวิวชื่อดังคือจุดชมวิวเนินนางพญา ที่มองเห็นถนนเลียบชายฝั่งและทะเลสุดลูกหูลูกตา สำหรับนักปั่นยังสามารถปั่นไปตามถนนเส้นเฉลิมบูรพาชลทิต ไปจนถึงหาดแหลมสิงห์ ระยะทางประมาณ 38 กม. อีกหนึ่งชายหาดที่สวยงามของ จ.จันทบุรีได้อีกด้วย

สำหรับนักปั่นที่เลือกจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุดนี้ได้แล้ว ก็อย่าลืมวางแผนเส้นทางผ่าน Garmin Edge เพื่อความมั่นใจในการปั่น อย่าลืมรักษาระยะห่างและรักษาสุขอนามัยอยู่เสมอเพื่อจะได้ออกปั่นจักรยานกันอย่างสบายใจด้วยนะครับ😁❤️

ใครมีสถานที่ปั่นสวยๆ นอกจาก 5 เส้นทางปั่นใกล้กรุงเทพฯ เอามาอวดเพื่อนๆบ้างนะ…

📌ดูรายละเอียดสินค้า Garmin Edge รุ่นต่างๆได้ที่ https://www.alive.store/shop?categoryId=4

#Garminthailand
#Garminsport
#GarminEdge

Solar Charging นวัตกรรมจาก GARMIN เปิดตัวในรุ่น Fenix 6 – Instinct

GARMIN เปิดตัวนวัตกรรม Solar Charging ในรุ่น Fenix 6 – Instinct เปลี่ยนแสงเป็นพลังงาน เพิ่มเวลาการใช้งานให้ยาวนานกว่าเดิม

บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายการ์มิน สมาร์ทวอทช์ระดับโลก เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ Solar Charging ในสมาร์ทวอทช์การ์มิน 2 รุ่น Fenix 6 และ Instinct ชูจุดเด่นเลนส์หน้าปัด Power Glass แปลงแสงอาทิตย์เป็นพลังงานแบตเตอรี่ ชาร์จได้แม้ในขณะที่นาฬิกาปิด ล้ำกว่าด้วยการชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ หรือภายใต้แสงชนิดอื่น ๆ ที่มีความเข้มแสง 50,000 lux หรือมากกว่า สามารถใช้งานต่อเนื่องในโหมด GPS ได้สูงสุดถึง 40 ชม. เพิ่มฟังก์ชันอัปเกรดกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เซิร์ฟ (Surf) และเดินป่า เอาใจไลฟ์สไตล์สายลุย ติดตามผลกิจกรรมแบบเรียลไทม์ ประเมินสุขภาพของผู้ใช้และแจ้งเตือนความพร้อมของร่างกายด้วยฟังก์ชัน Body Battery สร้างความมั่นใจก่อนลุยทุกกิจกรรม

นายไกรรพ เหลืองอุทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัท ซีดีจี (CDG) ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยของบริษัท การ์มิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า พลังงานทางเลือกเป็นหนึ่งเทรนด์ที่จะมาแทนที่พลังงานแบบดั้งเดิมที่กำลังได้รับความนิยม ล่าสุดการ์มินได้เปิดตัวนวัตกรรม Solar Charging ใน 2 รุ่นสุดฮิต Fenix 6 และ Instinct ซึ่งเลือกใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานแสงอื่น ๆ นับเป็นจุดเริ่มของการมองหาพลังงานทางเลือกแบบยั่งยืนเพื่อพัฒนาไปสู่การใช้งานสมาร์ทวอทช์มิติใหม่ ให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมควบคู่กับการใช้นาฬิกาการ์มินได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น

“จุดเด่นหลัก ๆ ที่ไม่มีในการ์มินรุ่นไหนมาก่อน แต่มีอยู่ใน Fenix 6 และ Instinct คือการนำพลังงานทางเลือกมาเป็นแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยี Power Glass Solar Charging Lens บนหน้าปัดนาฬิกาในรุ่น Fenix 6S / 6 Solar และแถบ Solar Cell รอบจอแสดงผล ในรุ่น Instinct Solar เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานให้นาฬิกา ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในการทำกิจกรรมกลางแจ้งภายใต้คอนเซปท์ “Do what you love longer” ที่ให้พลังงานด้วยการชาร์จโดยตรงกับแสงอาทิตย์ หรือภายใต้แสงชนิดอื่น ๆ ที่มีความเข้มแสง 50,000 lux หรือมากกว่า ให้ผู้สวมใส่สามารถใช้งานต่อเนื่องในโหมด GPS ในรุ่น Fenix 6S Solar ได้ถึง 28 ชม.ในรุ่น Fenix 6 Solar ได้ถึง 40 ชม.และในรุ่น Instinct Solar ได้ถึง 38 ชม. และยังสามารถจัดการการใช้พลังงานแบตเตอรี่ด้วยการตั้งค่าเปิด-ปิดโหมดการใช้งานและการวัดค่าต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับกิจกรรมหรือกีฬาเพื่อเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ พร้อมทั้งแสดงผลเป็นชั่วโมงการใช้งานที่เหลือ เพื่อการวางแผนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งาน” นายไกรรพกล่าว

นอกจากนี้ สมาร์ทวอทช์ทั้ง 2 รุ่น ยังเพิ่มโหมดฟังก์ชันใหม่เพื่อเอาใจนักเล่นเซิร์ฟและเดินป่า โดยมีจุดเด่น เพิ่มขึ้นมาคือ Surf-Ready Features ซึ่งเป็นโหมดสำหรับเล่นเซิร์ฟ มีการติดตามและบันทึกข้อมูลที่ละเอียดกว่าเดิม เข้าถึงข้อมูลจุดต่าง ๆ ของจุดเล่นเซิร์ฟ เช่น ความสูงคลื่น ระดับน้ำขึ้น-ลง สภาพภูมิอากาศ เพื่อความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้านโหมดสำหรับสายเดินป่า มี 3 เซนเซอร์แจ้งเตือน A – Altimeter เพื่อบอกความสูงจากระดับน้ำทะเล B – Barometer บอกความกดอากาศ (เตือนพายุได้) C – Compass บอกทิศทาง (N/S/E/W) ซึ่งจำเป็นสำหรับสายเดินป่ารวมถึงกลุ่มใช้งานกิจกรรม outdoor ด้วย 3 เซนเซอร์หลักที่ใช้ในการนำทางและเดินป่า ช่วยให้ทราบถึงความสูง ความชัน สามารถใช้งาน outdoor แม้ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณ GPS นอกจากนี้ยังมีโหมดตอบโจทย์สายรักสุขภาพด้วยเทคโนโลยีเซนเซอร์วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในกระแสเลือด (ค่า SpO2*) ทำงานคู่กับโหมดติดตามการปรับสภาพเข้ากับระดับความสูง (Altitude Acclimation) และโหมดวัดคุณภาพการนอน (Sleep Monitor) ติดตามสภาพร่างกายได้ละเอียดยิ่งขึ้น เช่น ยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพความสูงได้ หรือร่างกายยังไม่สมบูรณ์พอสำหรับกิจกรรมหนัก ๆ เพื่อประเมินสุขภาพของผู้ใช้และวัดความพร้อมของร่างกายในทุกกิจกรรมเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง

Fenix 6S / 6 Solar มาพร้อมสีใหม่ 4 สี Light Gold, Amethyst, Black และ Mineral Blue ในราคาเริ่มต้น 31,500 บาท และ Instinct Solar มาพร้อมดีไซน์แบบ tactical style อันเป็นเอกลักษณ์ของ Instinct และสีใหม่ 6 สี Tidal Blue, Orchid, Lichen Camo, Moss, Pipeline และ Cloudbreak ในราคา เริ่มต้น 13,990 บาท

ผู้ที่สนใจ GARMIN สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ และสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ได้ที่ตัวแทนจำหน่าย GARMIN ทั่วประเทศ หรือ https://bit.ly/garminsolar

☀️ Garmin Solar Feature “Do what You Love Longer” ☀️

Garmin Solar Feature

Solar Charging 🔋 เป็นเทคโนโลยีการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาแปลงเป็นพลังงาน ช่วยให้นาฬิกาใช้งานได้นานขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีอยู่ใน Fenix 6 Solar Series และ Instinct Solar โดยนาฬิกาจะแสดงกราฟระดับความเข้มแสงที่ได้รับบนหน้าจอ หรือเปิด widget “Solar Intensity” เพื่อดูกราฟได้เช่นกัน 📈

Solar Charging 🔋 มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้งานกลางแจ้งและหน้าปัดนาฬิกาหันเข้าแสงอาทิตย์โดยตรง☀️ ซึ่งการใช้งานในภาวะแสงเข้มข้นสูงสุด (ประมาณ 50,000 ลักซ์หรือแสงแดดกลางแจ้ง) จะช่วยเพิ่มเวลาการใช้งานนาฬิกาแต่ละรุ่น ดังนี้

Fenix 6 Pro Solar สามารถใช้งานโหมด GPS ได้ถึง 40 ชม. และโหมด smartwatch ได้กว่า 16 วัน
⌚Fenix 6S Pro Solar สามารถใช้งานโหมด GPS ได้ถึง 28 ชม. และโหมด smartwatch ได้กว่า 10 วัน
Instinct Solar สามารถใช้งานโหมด GPS ได้ถึง 38 ชม. และโหมด smartwatch ได้ถึง 54 วัน

Solar Charging ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นแหล่งพลังงานเสริมของตัวนาฬิกาเท่านั้น ช่วยให้ผู้ที่เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานานสามารถใช้งานนาฬิกาโดยไม่ต้องกังวลว่าแบตจะหมดลงกลางคันให้หมดสนุก 🏃‍♀🚴‍♂🏊‍♀🏄‍♀🏂🏌‍♀🧗‍♂

🛒 Shop now >> https://bit.ly/garminsolar

#GarminThailand
#GarminSolar

❤️ทำไมถึงวัด Heart Rate ที่ข้อมือ

ทำไมถึง วัด Heart Rate ที่ข้อมือ?

เคยมีลูกค้าถามว่า “พลิกใส่นาฬิกามาใส่ที่ข้อมือด้านใน จะวัดค่าได้แม่นยำกว่าหรือไม่?”
หรือ “สามารถเอาเซ็นเซอร์สีเขียวๆ ไปวัดที่ต้นแขน หรือที่อื่นๆได้หรือไม่?”
.
คำตอบคือ “สามารถวัดค่าได้เหมือนกัน” แต่!!! ค่าที่ได้นั้นอาจจะมีความคลาดเคลื่อนสูง
.
ผิวหนังใต้ข้อมือ ของคนเรานั้นเป็นพื้นที่ ที่มีชั้นไขมันสะสมอยู่ไม่หนามาก และมีเส้นเลือดใหญ่ไหลผ่าน ทำให้เซ็นเซอร์สีเขียว มีการวัด และสะท้อนสัญญาณกลับได้อย่างสะดวก

เพื่อความสะดวกในการใช้งานของผู้ใช้ แค่สวมใส่นาฬิกาเหมือนปกติ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซ็นเซอร์นาฬิกาในการวัดข้อมูล ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวัน หรือในขณะออกกำลังกาย ซึ่งเราก็เคยชินกับการสวมใส่นาฬิกากันอยู่แล้ว
.
📌สรุป
• บริเวณข้อมือนั้นมีเส้นเลือดที่ใหญ่พอสำหรับการวัดอัตรกาการเต้นของหัวใจ
• เป็นตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดสำหรับการสวมใส่นาฬิกา
• ที่สำคัญเป็นตำแหน่งที่สามารถวัดค่าได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

ให้ Garmin เป็นผู้ช่วยในการดูแลสุขภาพของคุณนะครับ…

#GarminThailand
#GarminSport

🤔 ความเครียด มีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

ความเครียด มีผลเสียต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

บางคนรู้ตัวว่าตัวเองเครียด บางคนไม่รู้ว่าตัวเองเครียด แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเรามักโกหกตัวเองว่าเรา “ไม่ได้เครียด”
และทนอยู่กับความเครียดจนถึงจุดที่ ร่างกายรับไม่ไหว และเริ่มมีปัญหาแล้ว
.
ความเครียด โดยส่วนใหญ่นั้นมักแสดงออกมาทางอารมณ์ เช่นหงุดหงิด, ฉุนเฉียว, โมโหง่าย, ความสามารถในการควบคุมตนเองได้น้อยลง
.
ความเครียด จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน 2 ตัวสำคัญคือ “คอร์ตอซอล” (Cortisol) และ “แอดีนาลีน” (Adrenaline) เราเรียกรวมกันง่ายๆว่า “ฮอร์โมนความเครียด” และยิ่งร่างกายมีฮอร์โมนความเครียดมากขึ้นๆ แล้วนั้นก็จะเกิดผลเสียต่อร่างกายคือ
.
• หัวใจ – หัวใจเต้นเร็วขึ้น แรงขึ้น เป็นความเสี่ยงมากขึ้นสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ
• หลอดเลือด – ความเครียดทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายหดตัว หรืออาจถึงขั้นตีบตัน ทำให้อวัยวะต่างๆได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ทั้งกับสมอง และร่างกาย
• ตับ – กรดไขมันที่เกิดจากความเครียด จะถูกเปลี่ยนเป็น “น้ำตาล” ที่ตับ และส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็น #โรคเบาหวาน มากขึ้น
• กล้ามเนื้อ – ความเครียดทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง เป็นสาเหตุทำให้ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง
• ระบบทางเดินอาหาร – ระบบทางเดินอาหารจะทำงานผิดปกติ บางคนจะกินมากขึ้นเพื่อบำบัดความเครียด หรือบางคนอาจจะกินอะไรไม่ลง บางคนอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องผูก กระเพาะอักเสบ หรือบางคนก็เป็นกรดไหลย้อน
• หลอดลม – เมื่อเครียด หลอดลมจะหดตัวลง ทำให้การหายใจเข้า-ออก ไม่สะดวก จึงต้องหายใจโดยใช้แรงเยอะกว่าปกติ
• การนอน – นอนไม่หลับ, นอนหลับไม่สนิท,คิดฟุ้งซ่านก่อนนอน, นอนแล้วฝันเยอะเกินไป ล้วนเกิดจากความเครียดที่สะสมในระหว่างวัน
• มะเร็ง – ความเครียดเป็นต้นเหตุให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง จึงทำให้ไม่สบายง่าย ป่วยง่าย และอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดเซลล์ผิดปกติ และเจริญเติบโตเป็นเนื้องอกมะเร็งในที่สุด

.
เห็นไหมครับว่า “ความเครียด” มีผลเสียต่อร่างกายเราเยอะมากๆ ดังนั้นเราจึงต้องเฝ้าระวังความเครียดของตนเอง และผ่อนคลายความเครียดกันด้วยนะครับ

📌สามารถดูรายละเอียด Garmin รุ่นที่มีฟังก์ชั่นวัดความเครียดได้ที่…

https://bit.ly/Garminstress

#GarminThailand
#GarminSport

กล้องติดรถยนต์ Garmin Dash Cam Series รุ่นใหม่ล่าสุด

บริษัท จีไอเอส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์การ์มินเปิดตัว กล้องติดรถยนต์ GARMIN Dash Cam Series รุ่นใหม่ล่าสุด ได้แก่ Dash Cam Mini , Dash Cam 46 และ Dash Cam 56  ที่มีขนาดกะทัดรัด มุมมองกล้องกว้าง โดยมีคุณสมบัติเด่นดังนี้

  • เลนส์มุมกว้าง 140 องศาบันทึกวิดีโอคุณภาพสูงคมชัด1080p สำหรับ Dash Cam 46 และ Dash Cam Mini และความคมชัด 1440p พร้อมโหมด Garmin HDR ที่ช่วยเพิ่มความคมชัดแม้ในสภาวะแสงน้อยสำหรับ Dash Cam 56
  • บันทึกและเก็บวิดีโอเหตุการณ์โดยอัตโนมัติ
  • Dash Cam สามารถซิงค์โดยอัตโนมัติและช่วยให้คุณควบคุมและเล่นวิดีโอจากกล้องได้มากถึง 4 ตัว ใน App Garmin Drive
  • การควบคุมด้วยเสียง ช่วยให้คุณสามารถเก็บวิดีโอหรือถ่ายภาพนิ่ง เริ่ม/หยุดการบันทึกเสียง หรือเริ่ม/หยุดคุณสมบัติการจับภาพวิดีโอแบบ Travelapse ได้อย่างง่ายดาย (เฉพาะรุ่น Dash Cam 46/56)
  • การแจ้งเตือนเมื่อเข้าใกล้รถคันหน้าหรือออกนอกเลน การแจ้งเตือน “GO” (เฉพาะรุ่น Dash Cam 46/56)

สามารถศึกษารายละเอียดกล้องติดรถยนต์ GARMIN Dash Cam Series เพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ https://www.alive.store/shop/products/Dash-Cam

กล้องติดรถยนต์ Garmin Dash Cam Series
กล้องติดรถยนต์ Garmin Dash Cam Series

❤️ ใส่นาฬิกาตรงไหน ให้วัดหัวใจได้แม่นยำ

ใส่นาฬิกาตรงไหน ให้วัดหัวใจได้แม่นยำ

นาฬิกาจะวัดค่า Heart Rate ได้แม่นยำขึ้น เมื่อเราใส่นาฬิกาอย่างถูกต้อง
และอย่างที่ทราบ Garmin ไม่ได้มีแค่ฟังก์ชั่นการวัด Heart Rate แต่ยังมีการวัดความเครียด, ออกซิเจนในเลือด, คุณภาพการนอนหลับ และวัดอัตราการหายใจได้อีกด้วย ซึ่งค่าเหล่านี้ก็จะแม่นยำขึ้นด้วยนะ
.
การใส่นาฬิกาในตำแหน่งที่ถูกต้อง

🤓การใส่นาฬิการะหว่างวัน
1. ใส่นาฬิกาให้เหนือขึ้นมากว่า “กระดูกข้อมือ” เล็กน้อย เพื่อให้เซ็นเซอร์นาฬิกาสัมผัสกับผิวหนังมากที่สุด
2. สวมใส่ให้พอดีๆ ไม่แน่น และไม่หลวมเกินไป สวมใส่ให้สบายๆข้อมือไม่จำเป็นต้องรัดแน่น แต่ก็ระวังอย่าให้หลวมมากจนเซ็นเซอร์ไม่สัมผัสกับผิวหนัง

🏃‍♂️การใส่นาฬิการะหว่างออกกำลังกาย
1.ใส่นาฬิกาให้เหนือขึ้นมากว่า “กระดูกข้อมือ” เล็กน้อย เพื่อให้เซ็นเซอร์นาฬิกาสัมผัสกับผิวหนังมากที่สุด (ตำแหน่งเดิมกับที่ใส่ระหว่างวัน)
2.ปรับความแน่นขึ้นจากที่ใส่ระหว่างวัน เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1-2 ข้อ เพื่อให้นาฬิการัดข้อมือแน่นขึ้น และไม่แกว่งไปมา ขณะออกกำลังกาย เพื่อให้ค่า Heart Rate ที่วัดได้มีความแม่นยำมากขึ้น

เมื่อเราใส่นาฬิกา Garmin ได้ถูกตำแหน่ง และความแน่นพอดีๆ เราก็จะได้ค่า Heart Rate ที่แม่นยำขึ้น และที่สำคัญอย่าลืมสังเกตสุขภาพของตัวเองด้วย Heart Rate กันนะครับ

ให้ Garmin เป็นผู้ช่วยในการดูแลสุขภาพของคุณนะครับ😁

#GarminThailand
#GarminSport